ค่าครองชีพสูงขึ้นเพราะข้าวเหนียวราคาแพงกระทบผู้บริโภคร้อยละ 73.37 และร้อยละ 64.26 เสนอให้ควบคุมราคาขายและกำหนดส่วนต่างของราคาข้าวเปลือกกับราคาข้าวสารเหนียวบรรจุถุงให้เป็นธรรม

        ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและพยากรณ์ทางการเกษตร (แม่โจ้โพลล์) ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนจากทั่วประเทศ (ภาคเหนือ ร้อยละ 70.00 ภาคกลาง ร้อยละ 13.17 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 15.94 และภาคใต้ ร้อยละ 0.89) จำนวนทั้งสิ้น 1,010 ราย ระหว่างวันที่ 25 สิงหาคม – 5 กันยายน 2562 ในหัวข้อ “คนไทยคิดเห็นอย่างไรกับราคาข้าวเหนียวที่แพงขึ้น” มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับปัญหาราคาข้าวเหนียวที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ผลการสำรวจพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 86.14 คิดเห็นว่าราคาข้าวเหนียวในปัจจุบันมีราคาที่แพงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงปีที่ผ่านมา สำหรับความคิดเห็นต่อผลกระทบจากราคาข้าวเหนียวที่สูงขึ้น พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 73.37 ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า ทำให้ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นส่วนอีกร้อยละ 26.63 ไม่ได้รับผลกระทบดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า บริโภคในปริมาณไม่มากในแต่ละครั้ง ด้านความคิดเห็นต่อวิธีการแก้ไขปัญหาจากราคาข้าวเหนียวที่สูงขึ้น ประชาชนเห็นว่ามีวิธีแก้ไข คือ อันดับ 1 คือ หันไปบริโภคข้าวประเภทอื่นทดแทน (ร้อยละ 50.10) อันดับ 2 คือ วางแผนการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและใช้จ่ายอย่างประหยัดให้มากขึ้น (ร้อยละ 34.65) และอันดับ 3 คือลดปริมาณการบริโภคข้าวเหนียว (ร้อยละ 29.50) เมื่อสอบถามถึงผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดจากราคาข้าวเหนียวที่เพิ่มสูงขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่า อันดับ 1 คือ พ่อค้าคนกลาง (ร้อยละ 64.06) สาเหตุเพราะ เป็นผู้กำหนดราคาขายและราคารับซื้อ อันดับ 2 คือ ร้านค้าส่ง/ปลีก (ร้อยละ 18.61) สาเหตุเพราะ สามารถกักตุนสินค้าได้ อันดับ 3 โรงสีข้าว (ร้อยละ 12.48) สาเหตุเพราะ รับซื้อข้าวเปลือกมาในราคาที่ต่ำ และอันดับ 4 เกษตรกร (ร้อยละ 4.85) สาเหตุเพราะ ผลผลิตเป็นที่ต้องการของตลาดทำให้เกษตรกรมีโอกาสขายได้ในราคาที่สูงขึ้น สำหรับข้อเสนอแนะที่มีต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าวเหนียวที่สูงขึ้น พบว่า อันดับ 1ประชาชนส่วนใหญ่เสนอให้มีการควบคุมราคาขายโดยการกำหนดส่วนต่างของราคาข้าวเปลือกกับราคาข้าวสารเหนียวบรรจุถุง (ร้อยละ 64.26) อันดับ 2 ส่งเสริมความรู้การปลูกข้าวเหนียวให้ได้ผลผลิตที่ดีและมีคุณภาพแก่เกษตรกร (ร้อยละ 35.25) อันดับ 3 ชะลอการส่งออกข้าวสารเหนียวออกนอกประเทศ (ร้อยละ 24.85) อันดับ 4 ปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำให้เหมาะสมกับภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน (ร้อยละ 14.85) อันดับ 5 นำเข้าข้าวสารเหนียวจากประเทศเพื่อนบ้าน (ร้อยละ 8.81) และอันดับสุดท้าย แก้ไขระบบการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรการปลูกข้าวให้มีประสิทธิภาพ (ร้อยละ 5.45)

ผลสำรวจโพลล์ล่าสุด